photo bombam

นักร้องแห่งเกาหลี

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยที่สุดในประเทศไทย

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

5 กฎเหล็กหยุดกินจุบจิบ


1. กินอาหาร

อันดับแรกคุณสาวๆ ต้องเปลี่ยนทัศนคติการอดอาหาร แล้วกินขนมแทนข้าว เพราะนั่นจะทำให้คุณมี น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นซะยิ่งกว่าการกินข้าว 1 จานเสียอีก ฉะนั้นต้องกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ ที่สำคัญ ให้เน้นเป็นอาหารเมนูสุขภาพ เพื่อประโยชน์ที่ดีกับร่างกาย
2. เลือกเครื่องดื่มแทนขนม

เมื่อรู้สึกอยากกินขนมขึ้นมา ให้คุณรีบตรงดิ่งไปในครัว แล้วหยิบใบชาสมุนไพรมาชงกินแทน นอกจากจะช่วยให้คุณลดความอยากกินได้แล้ว ชาสมุนไพรยังเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ เพราะไม่มีสารคาเฟอีน แต่ถ้าอยากเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากขึ้น แนะนำให้ใส่น้ำผึ้งแทนน้ำตาลจะดีที่สุด
3. งานอดิเรก

สำหรับสาวคนไหนที่อยู่ว่าง อยู่เฉยเป็นไม่ได้ ต้องหยิบคว้าขนมเข้าปากอยู่เรื่อย ขอแนะนำให้คุณหากิจกรรมที่ทำให้มือของคุณไม่อยู่เฉย อย่างเช่น การถักนิตติ้ง หรือถักโครเชต์ เพราะนอกจากจะทำให้คุณมีงานอดิเรก ยังช่วยเพิ่มเสน่ห์ความน่ารักให้ตัวคุณเองอีกด้วย
4. ออกห่างทีวี

เพราะการนั่งหน้าจอทีวีนี่แหละที่ทำให้คุณรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างนอก เหนือจากนั่งดูเพียงอย่างเดียว ซึ่งคำตอบสุดท้ายก็มักจะลงเอยด้วยการเดินไปตู้เย็น หรือเข้าไปในครัว แล้วควานหาของกินมานั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ จากนั้นมือก็จะเริ่มหยิบของกินเข้าปากอย่างไม่ทันระวัง พร้อมกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
5. แปรงฟัน

เชื่อหรือไม่ว่า การแปรงฟันหลังกินอาหารเสร็จเรียบร้อยทุกมื้อ จะช่วยให้คุณสาวๆ มีความอยากกินอาหารว่างน้อยลง นับเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยทำให้สุขภาพปากดีด้วย

10 วิธีช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน


1. เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

"ยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อเรียบมาก ร่างกายคุณก็จะเผาผลาญพลังงานมาก" ซึ่งวิธีการทำให้กล้ามเนื้อเรียบก็ไม่ยากค่ะ เพียงแค่ยกดัมเบลล์อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง
ก็จะช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มเหมือนกัน แต่ช่วงที่ระดับเมตาบอลิซึ่มคุณพุ่งสุดขีดนั้นน่ะ ไม่ใช่ตอนที่คุณวิ่งหอบแฮกๆบนสายพานหรอกนะคะ แต่หลังจากนั้นอีกสัก 2-3 ชั่วโมงค่ะ

2. ขยับตัว

อยากเผาผลาญแคลอรี่ให้เร็วที่สุดก็ต้องออกกำลังกาย ซึ่งการออกกำลังกายนั้นเราต้องทำเป็นประจำ อย่างน้อยที่สุดก็วันละ 30 นาที อย่างปกติก็ 1 ชั่วโมง วิ่งเหยาะๆหรือเต้นแอโรบิกอาทิตย์ละ 3 ครั้ง
(แต่ไม่ควรที่จะหักโหมมากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้คุณเหนื่อยหอบได้) และไม่ว่าจะออกกำลังกายแบบไหนก็ช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มทั้งนั้นล่ะ ให้หัวใจได้เต้นแรงเต็มที่ 120 ครั้งต่อนาที ให้ต่อเนื่องนานสัก 30-45 นาที

3. กิน!

ยิ่งร่างกายคุณขาดสารอาหาร กล้ามเนื้อก็จะล้า การเผาผลาญก็จะน้อยลง ทางที่ดีกินเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 3-4 มื้อ ยังดีกว่าอดอาหารไปเลย แต่อย่าลืมว่า
ควรจะเป็นคนเลือกินสักหน่อย ไม่ใช่บอกว่าให้เลือกกินของแพงนะคะ แต่ให้เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า ลดไขมันจากสัตว์ แต่เพิ่มปริมาณผักและผลไม้

4. งดน้ำตาล

เหตุผลง่ายๆ ก็คือน้ำตาลที่เหลือใช้แล้ว ร่างกายจะแปรสภาพเป็นไขมัน เพราะฉะนั้นลดน้ำตาล ก็จะช่วยลดไขมันไปในตัว

5. อย่าลืมกินอาหารเช้า

เป็นความงที่ว่าคนที่กินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ หุ่นดีกว่าคนที่อดข้าวเช้า และอาหารเช้ายังทำให้ระดับเมตาบอลิซึ่มของคุณวันนั้นพุ่งเป็น 2 เท่าด้วย อีกอย่างอาหารเช้าจะช่วยทำให้สมองปลอดดปร่ง สามารถเริ่มทำงานได้อย่างเต็มที่

6. กินอาหารเผ็ดร้อน

เป็นคนไทยแสนจะโชคดี มีอาหารที่รสจัด มีทั้งพริกขี้หนูและพริกไทย แต่อย่าทานที่เผ็ดจนลิ้นชา หน้าแดง น้ำตาไหลนะคะ เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อกระเพาะและลำไส้ได้

7. ดื่มชาเขียว

เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเร่งเมตาบอลิซึ่มได้ดีและปลอดภัยกว่ากาแฟ ที่สำคัญตอนนี้หาซื้อได้ง่าย มีหลายรสชาติให้เลือกรับประทานด้วยค่ะ

8. ดื่มน้ำเยอะๆ

จะช่วยขับสารพิษหลังจากที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานแล้ว น้ำเย็นๆยังช่วยกระตุ้นให้เมตาบอลิซึ่มกระเตื้องขึ้นอีกนิดหนึ่งด้วยนะ อีกสูตรที่จะช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่สดใส นั่นคือ 1 2 3 3 1 อย่าเพิ่งงค่ะ เพราะว่า 1 2 3 3 1 ที่ว่านี้คือ หลังจากตื่นนอนให้ดื่มน้ำก่อน 1 แก้ว

ตอนสายอีก 2 แก้ว ตอนเที่ยงถึงบ่ายอีก 3 แก้ว ตอนเย็น 3 แก้ว และก่อนนอนอีก 1 แก้ว รับรองว่านอกจากจะช่วยกระตุ้นให้เมตาบอลิซึ่มแล้ว ผิวพรรณของคุณก็จะดูสดใสไปด้วย

9. อย่าเครียดสำคัญมาก ๆ เลยค่ะ

เพราะขณะนี้คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่กำลังตกอยุ่ในภาวะของอาการเครียด ซึ่งนอกจากจะทำร้ายจิตใจของเราแล้ว ยังส่งผลถึงร่างกายของเราด้วยเพราะความเครียดทำให้เราอ้วนขึ้น เพราะฮอร์โมนคอร์ติโซนจะไปทำให้อัตราเมตาบอลิซึ่มช้าลง ฉะนั้น สาว ๆ ที่กลัวอ้วน โปรดจงอย่าเครียด

10. นอนหลับ

ความลับที่เพิ่งจะค้นพบก็คือ กล้ามเนื้อเรียบในร่างกายเราจะทำงานเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีที่สุดในชั่วโมง หลังๆที่เราหลับสนิทเต็มที่ค่ะ

ซึ่งร่างกายของคนเราต้องการการพักผ่อนอย่างเต็มที่อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง

เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ 10 วิธีแสนง่าย ที่จะช่วยในการเผาผลาญพลังงานของคุณลองเอาไปทำกันดุนะค่ะเพื่อหุ่นสวยของคุณสาวๆ..

วิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอน


ใครที่อยากนอนหลับสบายตลอดคืน วันนี้มีวิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอนมาบอก


- ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนการเข้านอน ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ก็ควรดื่มไม่เกิน 2 แก้ว

- ปิดโทรศัพท์ก่อนเข้านอน เพื่อไม่ให้มีใครโทรมารบกวนเวลาที่ใกล้จะหลับ

- นอนที่ที่รู้สึกสบายที่สุด และเป็นที่นอนที่ไม่เป็นแอ่ง เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังและปวดไหล่ตอนตื่นนอนได้

- เลือกหมอนที่รู้สึกว่านอนแล้วรับกับลำคอ

- อาจเปิดเพลงช้าๆ ฟังสบายๆ เพื่อทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อาจเป็นพลงบรรเลงเบาๆ หรือฟังเพลงโปรดก็ได้

- ก่อนนอนพยายามเปิดแสงไฟนวลตา หรือไฟสีเหลืองส้มจะทำให้ดวงตาปรับแสงได้ดี ประสาทตาทำงานน้อยลง หลังจากปิดไฟนอนจะหลับสบายมากขึ้น

- ก่อนนอนใส่เสื้อผ้าสบายๆ เลือกใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าสบายๆ ไม่หนามากจนเกินไป เพื่อให้เหมาะกับอากาศ เและไม่ควรใส่ชุดชั้นในเวลานอน

- ค่อยๆล้มตัวลงนอนกับหมอนนุ่มๆ แล้วสูดหายใจเข้าออกยาวๆ หลายๆครั้ง เมื่อเริ่มรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง


เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้หลับสบายตลอดคืนแล้ว.

สุดยอด ผัก ผลไม้บำรุงสายตา


อาหารเพื่อบำรุงสมองนั้น เราทุกคนเคยทานและคุ้นเคยมากกว่าอาหารเพื่อบำรุงดวงตาหรือสายตา


อาหารเพื่อบำรุงดวงตาและสายตาไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่เราน่าจะลองมาทำความรู้จัก ผักและผลไม้เหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น และควรหามาบริโภคเป็นประจำ เราก็จะสามารถช่วยให้ดวงตาของเรานั้นมีสุขภาพที่ดีและมองดูสดใสอยู่ตลอดเวลา

ผลแอปริคอท

ผลแอปริคอทมันหวาน แคนตาลูป และน้ำเต้านั้น อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนที่เป็นตัวช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยบำรุงสายตา และช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก

ผักเคล หรือ กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม

เคล กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม ผักขม หัวผักกาดเขียวและบล็อคโครี่นั้น มีคุณประโยชน์ คือให้วิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส มีเบต้าแคโรทีน และยังช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง มีแคลเซียม วิตามินซี และเส้นใยอาหารสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้อีกด้วย

ถั่วสีน้ำตาลแดง

ถั่วสีน้ำตาลแดง นั้นเพรียบพร้อมไปด้วยสังกะสีที่ดีต่อสายตา อีกทั้งวิตามินเอก็เป็นส่วนช่วยปกป้องเยื่อชั้นในของลูกตา

ส้ม

วิตามินซีที่พบได้ในผักและผลไม้ เช่น ส้ม มะเขือเทศ และพริกหวานนั้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา วิตามินซีในส้มนั้นยังสามารถช่วยป้องกันโรคหวัด และนอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายอีกด้วย

ถั่วชนิดต่างๆ

อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวันและเฮเซิลนัต อุดมไปด้วยวิตามินอี และมีคุณประโยชน์มากมายในการช่วยป้องกันสายตา วิตามินอีเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ให้ผลในการป้องกันการทำลายของเซลล์ และยังช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ ที่อวัยวะต่างๆ เช่น เซลล์ของตา ตับ เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานและอายุการใช้งานของอวัยวะเหล่านี้นานขึ้น

ปลาแซลมอน

เนื้อปลาแซลมอนนั้นมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และ DHA ที่สามารถช่วยปกป้องจากโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของโรคตาและยังสามารถช่วยลดอากาตาแห้งได้อีกด้วยโฮลเกรน ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี

โฮลเกรน คือ ธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อย

นั้นมีเส้นใยอาหารสูง โดยเฉพาะข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ที่อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่างๆ และใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ เสริมสร้างระบบประสาทและเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงสมบูรณ์


จากงานวิจัยได้ค้นพบว่าการเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมมาจากค่าดัชนีน้ำตาลที่สูงอีกทั้ง Macular หรือจุดกลางรับภาพจอประสาทตานั้นเป็นส่วนที่ไวต่อการมองเห็นมากที่สุด ดังนั้นการบริโภคธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยเป็นประจำ ก็จะสามารถช่วยให้การเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมลดลงได้ถึง 8%

น้ำทับทิม’ ป้องกันสมองเสื่อม


ทับทิม เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณป้องกันอาการหลง ๆ ลืม ๆ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ในส่วนของเมล็ดยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็ง นอกจากทับทิมแล้ว เครื่องดื่มแก้วนี้ยังต้องการส่วนผสมเพื่อเพิ่มคุณค่าเข้าไปอีก มีทั้งแตงโม มะนาว ส้ม และสับปะรด ที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และทำให้แผลหายเร็วอีกด้วยสรุป

ส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ....
ทับทิม
แตงโม
มะนาว
ส้ม
สับปะรด
ขั้นตอนในการทำ

เริ่มจากการแกะเมล็ดทับทิมออกจากผล แล้วใส่รวมกันในผ้าขาวบาง บีบคั้นเอาแต่น้ำ ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆ นำไปคั้นเอาแต่น้ำเช่นกัน เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้วให้นำไปผสมรวมกัน จากนั้นนำไปเขย่ารวมกับน้ำแข็งก้อนใหญ่เพียงชั่วครู่ ก็จะได้เครื่องดื่มรสเปรี้ยวอมหวานที่เย็นจับใจ ดื่มได้ทันที

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 วิธีหนีร่างกายเสียสมดุล



1. การนั่งไขว่ห้าง

จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคดอย่างแน่นอนหรืออาจจะคดแล้วก็ได้โดย ที่ไม่รู้ตัว

2. การนั่งกอดอก

ทำให้หลังช่วงบนสะบักและหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูก คอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือด ที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูป จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง และจำกัดการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นสาเหตุของการอาการปวดศีรษะหรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้


3. การนั่งหลังงอ/นั่งหลังค่อม

เช่นการอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการ คั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา


4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น

การนั่งเก้าอี้ส่วนใหญ่จะชอบนั่งแบบครึ่งๆก้น ซึ่งส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ แต่ในทางตรงข้าม ถ้านั่งให้เต็มก้นเต็มเบาะ คือเลื่อนก้นให้เข้าในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยและเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่




5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว

การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน โดยยืนให้ขากว้างเท่า สะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกายไม่ทำให้กล้?ามเนื้อข้างใด ข้างหนึ่งต้องทำงานหนักมากเกินไป ในทางตรงข้าม หากยืนพักขาหรือลงน้ำหนักขาไม่เท่ากัน จะทำให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยวส่งผลให้กระดูกสันหลังคด


6. การยืนแอ่นพุง/หลัง

ควรยืนหลังตรงแขม่วท้องเล็กน้อย ขณะยืน เดิน หรือนั่ง ให้พยายามแขม่วท้องเล็กน้อยโดย ให้มีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอด หากเป็นไปได้ควรทำตลอดเวลาเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ ปวดหลัง


7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง

จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลังและการมี โครงสร้างร่างกายที่ผิด


8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว

ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือ กระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆกัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ตัวคุณต้องทำงานหนักอยู่ เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้


9. การหิ้วของด้วยนิ้ว

การใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริงๆแล้วกล้ามเนื้อในมือ เป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หน้าที่หลักคือการใช้หยิบ,จับโดยไม่หนัก แต่หากต้องใช้จับหรือหิ้วหนักๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการ เสียดสีและเกิดพังผืดในที่สุด ยิ่งหากหิ้วหนักมากๆ จะทำให้รั้งกล้ามเนื้อมัดอื่นๆ และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ มีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้


10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง

ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบขนานกับ เพดานไม่แหงนหน้าหรือก้มคอมากเกินไป หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีแก้ รักแร้ดำ

10 สูตรบำรุงความงามด้วยธรรมชาติ


1. ปั่นเนื้อสับปะรดผสมกับน้ำมันมะกอก นำมาพอกให้ทั่วมือทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก ทำซักสัปดาห์ละครั้ง มือคุณจะนุ่มเนียน แล้วเล็บจะแข็งแรงไม่ฉีกง่ายอีกด้วย
2. สำหรับสาวๆ ที่ผมมันง่าย นำแตงกวาสดมาปั่น แล้วนำมาหมักผมที่หมาดๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก สระและบำรุงผมด้วยครีมคอนดิชันเนอร์ตามปกติ แตงกวาจะช่วยลดความมันของเส้นผมลงได้
3. ปั่นหัวไช้เท้า ? ลูก เติมน้ำมะนาวเข้าไป 2 ช้อนชา นำมาทาหน้าบางๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเป็นประจำจะช่วยให้รอยฝ้าและกระค่อยๆ จางลงได้
4. นำใบสะระแหน่มาปั่น แล้วนำไปผสมกับครีมนวดที่ใช้อยู่เป็นประจำ หมักผมทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด จะช่วยลดรังแคได้
5.คั้นดอกชบากับน้ำอุ่นแล้วกรองเอาแต่น้ำมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ ให้หมักผมทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด จะช่วยให้เส้นผมเงางามเป็นประกาย
6. ผสมน้ำมะนาวกับน้ำผึ่งลงในน้ำอุ่น แล้วนำเท้าลงไปแช่ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยทำให้เท้านุ่มเนียนไม่แห้งตกหรือหยาบกร้าน
7. ผสมกาแฟกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ และดินสอพอง นำส่วนผสมที่ได้พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที จะช่วยให้ผิวเนียนใสไร้ริ้วรอย
8. นำกะหล่ำปลี 1 ซีกเล็กมาปั่นผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ แล้วเติมน้ำผึ่งเข้าไปเล็กน้อย นำส่วนผสมที่ได้ทาหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกผิวหน้าของคุณจะเนียนใสไม่หมองคล้ำ
9. ล้างเปลือกกล้วยหอมให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำมาปั่นผสมกับนมสด ? ถ้วยแล้วใช้ลำลีซุบส่วนผสมที่ได้นำมาเช็ดผิวหน้าให้ทั่วทิ้งไว้ซักพักแล้ว ล้างออก ผิวหน้าจะสะอาดสดใสและเนียนนุ่มขึ้น
10. นำถั่วเขียวปั่นผสมกับเปลือกส้มและโยเกิร์ตรสธรรมชาติเติมน้ำมันมะกอกเข้าไป เล็กน้อย นำผสมผสมที่ได้พอกที่หน้าทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด ผิวหน้าจะเนียนใสกระชับขึ้น

ลองนำเคล็ดลับไปปฏิบัติกันดู รับรองว่าความงามไม่หนีไปไหนแน่นอน!!!

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สูตรสวยหน้าใส....จากธรรมชาติ



สูตรขจัดสิวหัวดำ
นำมะเขือเทศสดมาปั่นรวมกับข้าวโอ๊ตให้เข้ากันแล้วผสมน้ำผึ้งสักเล็กน้อย นำมาทา บนใบหน้าให้ทั่ว เน้นเป็นพิเศษบริเวณที่มีสิวหัวดำ แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น

มาร์คพอกหน้าสูตรใบเตย
นำใบเตย4-5 ใบมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปปั่นรวมกับไข่ไก่ 2ช้อนโต๊ะจะได้มาร์คพอกหน้า เป็นครีมข้นๆ หอมกลิ่นใบเตย พอกหน้าไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างหน้าตามปกติ

ถนอมผิวหน้าด้วยโยเกิร์ต
ล้างหน้าให้สะอาด ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู แล้วใช้มือแตะโยเกิร์ต(ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลีงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก หมั่นทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผิวจะเปล่งปลั่งสดใสอมชมพูทีเดียวค่ะ

ครีมพอกหน้าสำหรับสาวผิวมันและผิวผสม
ให้ใช้แตงกวา1 ผล ไขไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 เสี้ยว หั่นแตงกวาเป็นแว่นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและบีบน้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตาไว้
ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยสมานผิวหน้า กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และนวลนุ่มชุมชื่น

ลบรอยกระด่างดำบนใบหน้าด้วยมะละกอสุก
นำมะละกอสุกมายีให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ สัก 10 นาที แล้วจึงล้างออก จะช่วยให้ ใบหน้าที่มีรอยด่างดำดูดีขึ้น

สูตรรักษาฝ้า
คั้นน้ำมะขามเปียก ให้ค่อนข้างใสสักหน่อย ตั้งไฟอ่อน รอจนสุก จึงใส่น้ำผึ้งลงไปคนให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้ต้องทำพร้อมกัน คือมือหนึ่งเท อีกมือก็คนให้ทั่ว นำมาทาหน้า วันละ 1 ชั่วโมง ช่วยรักษาฝ้า และทำให้ผิวหน้านวลใสขึ้น

สูตรสาวหน้าใส
ส่วนผสม น้ำผึ้ง น้ำมะนาว ผสมน้ำผึ้ง 1 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนชา เข้าด้วยกัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้า มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิว เหมือนครีมที่มีส่วนผสมAHA เลยละค่ะ ส่วนน้ำผึ้ง ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น นวดประมาณ 15 นาที

สูตรลดริ้วรอย
เลือกใช้ผลไม้ที่หาง่าย จะเป็นแอปเปิ้ล กล้วยหอม แตงกวา หรือมะเขือเทศก็ได้ค่ะ ใช้ปริมาณ 1 ถ้วย นำมาปอกเปลือกและเอาเมล็ดออก นำไปปั่นให้เนื้อละเอียด นำเนื้อผลไม้ที่เตรียมไว้ มาพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก และล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นอีกครั้ง จะทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม เกลี้ยงเกลา แลดูสดใส

สูตรกระชับรูขุมขน
กล้วยหอม แตงกวา มะเขือเทศ (เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง) ปอกเปลือก เอาเมล็ดออก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมนมเปรี้ยวหรือน้ำผึ้งลงไป นำไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ ประมาณ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะช่วยทำความสะอาดใบหน้า และช่วยกระชับรูขุมขน และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

สูตรขจัดสิวเสี้ยน
นำไข่ขาว มาทาบาง ๆ บริเวณที่มีสิวเสี้ยน แล้วใช้กระดาษทิชชูหรือกระดาษซับหน้าแค่ชั้นเดียว วางทับลงไป รอให้แห้ง แล้วค่อย ๆ ดึงกระดาษออก โดยดึงจากมุมด้านล่าง สิ้วเสี้ยนที่เคยเป็นเสี้ยนหนามตำใจจะหลุดออกมาอย่างง่ายดายค่ะ

คลีนเซอร์สำหรับทุกสภาพผิว
โยเกิร์ต 1/2 ถ้วยน้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะน้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ (คั้นสด ๆ นะคะ)นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสมให้เข้ากัน พอกให้ทั่วหน้าทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เทคนิกการจัดทรงผมน่ารักๆ




เทคนิกการจัดทรงผมกระต่ายน่ารักๆๆๆ

อันตรายที่มากับความหวาน


1. ภาวะเลือดเป็นกรด

เกิดจากการที่มีน้ำตาลเชิงเดี่ยวจากน้ำตาลทราย น้ำผึ้ง ผลไม้ นม วิ่งเข้าสู่กระแสเลือดเป็นจำนวนมาก จนทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรด ร่างกายต้องแก้ปัญหาโดยการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ เข้ามาในเลือด เพื่อปรับความเป็นกรดให้สมดุล ร่างกายจึงขาดสารอาหารจนอ่อนเพลีย หมดเรี่ยวหมดแรง กระดูกเปราะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมสาวหวานถึงได้บอบบาง ป่วยง่ายหายช้ากันนัก

2. ฟันผุ

คนที่มีน้ำตาลเกาะอยู่ที่ผิวเคลือบฟันตลอดวัน มักจะฟันผุและมีกลิ่นปาก เพราะคราบน้ำตาลที่เกาะอยู่ก็คืออาหารโต๊ะจีนสุดหรูท ี่แบคทีเรียในช่องปาก ช้อบ..ชอบ

3. อารมณ์เสีย หงุดหงิด ขี้โมโห

นี่คือลักษณะเด่นของคนที่ชอบความหวานเลยเชียว เพราะการมีน้ำตาลในเลือดมากทำให้ตับอ่อนต้องทำงานหนั ก และขับอินซูลินออกมามากเกินไป เมื่อมีอินซูลินในสมองมาก เราจะเครียดจนกลายเป็นคนขี้โมโห ควบคุมอารมณ์ สติ ไม่ค่อยได้

4. ง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา

เมื่อมีน้ำตาลในเลือดมากจนเลือดเป็นกรด ร่างกายจะไม่ส่งเลือดแบบนั้นขึ้นไปเลี้ยงสมอง ทำให้สมองขาดเลือด เราจึงง่วงซึม คิดอะไรไม่ออกไปทั้งวัน

5. อ้วน

น้ำตาลก็คือคาร์โบไฮเดรตรูปแบบหนึ่ง เมื่อมันเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นไขมัน และถูกส่งไปสะสมอยู่ตาม หน้าท้อง สะโพก ต้นขา และที่อื่นๆ ที่คุณไม่อยากให้มี

6. เป็นโรคติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

เพราะน้ำตาลก็คืออาหารของเชื้อโรค คนที่ชอบความหวานจึงมักจะแผลหายช้ากว่าคนอื่น และถึงหายก็มักจะเป็นแผลเป็น เพราะเชื้อโรคที่บาดแผลได้ของดีมาเพิ่มพลังนี่เอง

7. ความดันสูง

หลังจากร่างกายเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมันแล้ว กรดไขมันเหล่านี้จะถูกส่งไปเกาะอยู่ตามอวัยวะภายในอย ่างหัวใจ ตับ และไต ทำให้อวัยวะสำคัญทำงานไม่สะดวก ความดันเลือดจึงค่อยๆ สูงขึ้นจนอาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้

8. ปวดหัวเรื้อรัง

เป็นไมเกรน สิวขึ้น เกิดแผลพุพอง เป็นตะคริว เวลาที่มีรอบเดือน มีโอกาสเป็นเบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ และมะเร็งตับได้ตลอดเวลา

15 วิธีแต่งหน้าให้เด็ก



- ก่อนจะมาเริ่มการแต่งหน้า ควรบำรุงผิวหน้าอย่างดีเสียก่อน ด้วยการกินผักสดผลไม้ ครึ่งกิโลทุกวัน ทากันแดดก่อนออกจากบ้านและถ้าสูบบุหรี่ก็เลิกซะ

- ทุกเช้า เอาน้ำเย็นวักใส่หน้าสัก 30 ที เพื่อให้ผิวได้ตื่นตัว

- อย่าละเลงมอยเจอไรเซอร์มากเกินไป แค่แต้มนิดๆบนแก้มซ้ายขวา หน้าผาก คาง และเกลี่ยทั่วๆ ทาสักหน่อยที่คอ เพิ่มตัวบำรุงไปด้วยก็ได้

- พยายามใช้ Foundation เพราะนอกจากจะช่วยทำให้ผิวดูสว่างแล้ว ยังปกป้องผิว จากแสงแดดและมลภาวะอีกด้วย

-ใช้คอนซีลเลอร์แค่แต้มตามจุดเท่านั้นก็พอ (ทามาก เกลี่ยไม่ดี สีจะกระดำกรด่าง)

- ปัดแก้มเลือกใช้สีอมส้มแทนที่จะเป็นสีชมพู

-หลังลง Foundation แล้ว ลงแป้งเนื้อเบา ทาทั่วแก้มและรอบๆปากด้วย (อย่าโบ๊ะนั่นเอง)

-แต่งหน้าน้อยที่สุดนั้นดีที่สุด การแต่งจัดเกินทำให้หน้าดูแก่มักมัก

-แต่งคิ้วพองามแต่อย่าเขียนซะโก่งเกินเหตุ ดขียนให้เข้ากับรูปคิ้ว เลือกดินสอสีน้ำตาลช่วยทำให้หน้าดูสว่างขึ้น

- ดัดขนตาช่วยให้ตาดูกลมโตยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ ดัดที่ชิดโคน( อย่าดัดจนขนตาหักนะคะ)

-เอามัสคาราถูเบาๆบนทิชชูสักรอบก่อนค่อยปัด เพื่อป้องกันมัสคาร่าจับเป็นก้อน

-ทาอายครีมแล้วพักทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาทีก่อนลงอายแชโดว์ (ให้ครีมซึมซาบลงสู่ผิวนั่นเอง)

- ปากแดง ทาแล้วดูแก่กว่าปากชมพูสดใส

- เติมกลอสที่ปากล่างด้วย ช่วยให้ปากดูอิ่มเต็ม

- ถ้าจะทาเขียนขอบปาก ก็หาสีที่เข้ากับลิบ หรือไม่ก็ไม่ต้องทา ใช้ขอบปากธรรมชาติไปเลย
15 วิธีที่ว่ามา คงช่วยให้สาวๆ วัยไม่เด็กอย่างเรา แต่งหน้าแล้วดูเด็กลงและ แต่งแล้วไม่ดูแก่กว่าวัยนะคะ ^ 0 ^** ถ้ามีเวลา จะลงการแต่งหน้าแบบดูแก่ และดูเด็กให้ชมเน่อ



ออกกำลังกายทุกๆวันแล้วสุขภาพก็จะแข็งแรง

>

You Belong With Me